โอกาสและความท้าทายของการค้าผ่านแดนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ศ.ณัฏฐพันธ์ เขจรนันทน์
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดผ่านห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ การค้าผ่านแดน (Cross-border Transit Trade) กลายเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (GMS) ซึ่งรวมถึงประเทศไทย ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ ระบบการค้าผ่านแดนในภูมิภาคนี้ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความรวดเร็วในการขนส่ง และเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการเชื่อมโยงเศรษฐกิจทางบกในภูมิภาค โดยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ระบบราง และด่านศุลกากร เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เส้นทางสำคัญ ได้แก่ ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก–ตะวันตก (EWEC) ซึ่งใช้ถนนเป็นหลัก และระเบียงเศรษฐกิจเหนือ–ใต้ (NSEC) ที่มีถนนได้มาตรฐาน พร้อมระบบรางที่กำลังพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและเชื่อมต่อสู่ตลาดโลก
การค้าผ่านแดนยังส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น โดยกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่ชายแดน เช่น ศูนย์กระจายสินค้า ตลาดชายแดน และบริการโลจิสติกส์ นอกจากนี้ยังช่วยเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยการผลิตหลายขั้นตอนในหลายประเทศ การเคลื่อนย้ายสินค้าผ่านประเทศเพื่อนบ้านโดยไม่ต้องหยุดพักช่วยเพิ่มความคล่องตัวและลดเวลาการส่งออก
อย่างไรก็ตาม การค้าผ่านแดนยังเผชิญความท้าทาย เช่น ความไม่สอดคล้องของกฎระเบียบศุลกากร ความล่าช้าในด่านชายแดน ข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี รวมถึงความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการค้าในภูมิภาค
เพื่อให้การค้าผ่านแดนพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปรับปรุงขั้นตอนศุลกากรให้ทันสมัยและสอดคล้องกัน รวมถึงใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความโปร่งใสและลดระยะเวลาในการดำเนินการ พร้อมทั้งส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในกรอบ GMS และอาเซียน
การค้าผ่านแดนจึงไม่ใช่เพียงกลไกทางเศรษฐกิจ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางสังคมและการเมืองของภูมิภาค หากบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับท้องถิ่นและภูมิภาคในระยะยาว
